วันอังคารที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2565

 การพิจารนาระดับสมาธิของตน

แบบบอกตนเองได้ กำหนดรู้ตนเอง ได้ว่า ปฏิบัติอยู่ขั้นไหน
๏ อาการของปีติที่เกิดขึ้นมา คือ ตัวชี้วัดระดับสมาธิในขั้นต้น คือ
- หากเกิด ปีติเล็กน้อย ขนลุกชูชัน
๏ ผู้ปฏิบัติสามารถบอกตนเองได้ว่า
ตนเกิด ขณิกสมาธิ,สมาธิชั่วครู่ อยู่ในขณะนี้
- หากเกิด ปีติแบบมดไต่,ตัวเล็ก,ตัวใหญ่,ตัวโยกโคลง,ตัวหนัก,ตัวลอย,รู้สึกเกิดความร้อนในกาย
๏ ผู้ปฏิบัติสามารถบอกตนเองได้ว่า
ตนเกิด อุปจารสมาธิ, สมาธิใกล้ฌาน อยู่ในขณะนี้
- หากเกิด ปึติแบบมีกระแสปีติเอิบอาบกาย กระแสชาๆ เหมือนมีพลังงานแผ่ทั่วร่างกาย มีสติสัมปชัญญะ รู้ตัวทั่วพร้อม เกิดจากกระแสปีติที่เอิบอาบกายนั้น เรียกว่า มีผรณาปีติ
๏ ผู้ปฏิบัติสามารถบอกตนเองได้ว่า
อาการนี้คือ เข้าฌาน 1
๏ ในปีติ 5
- ข้อ1,2,3 คือ ขณิกสมาธิ สมาธิเพียงชั่วครู่,สมาธิเล็กน้อย
- ข้อ 4 คือ อุปจารสมาธิ,สมาธิที่ใกล้ถึงฌาน
- ข้อ 5 คือ ปีติในองค์ฌาน
๏ พิจารณานิวรณ์ 5 ในฌาน1ด้วยว่า ;
1. ขณะนี้ ตนติดในกามคุณ5 คือเพลินติดใน รูป,เสียง,กลิ่น,รส,สัมผัส อยู่หรือไม่ ?
หากไม่มี นั้นคือ ผู้ปฏิบัติสามารถบอกตนเองได้ว่า
กามฉันทะนิวรณ์ ไม่ได้ตั้งอยู่ในจิตขณะนี้
2. ขณะนี้ ความพยาบาท อยากเบียดเบียนสัตว์อื่น ตั้งอยู่ในจิตเราขณะนี้หรือไม่ ?
หากไม่มี นั้นคือ ผู้ปฏิบัติสามารถบอกตนเองได้ว่า
พยาบาทนิวรณ์ ไม่ได้ตั้งอยู่ในจิตเราขณะนี้
3. ขณะนี้ ความง่วง,ความหดหู่ ตั้งอยู่ในจิตเราขณะนี้หรือไม่ ?
หากไม่มี นั้นคือ ผู้ปฏิบัติสามารถบอกตนเองได้ว่า
ถีนะมิธะนิวรณ์ ไม่ได้ตั้งอยู่ในจิตเราขณะนี้
4. ขณะนี้ ความฟุ้งซ่าน,ความรำคาญใจ ตั้งอยู่ในจิตเราขณะนี้หรือไม่ ?
หากไม่มี นั้นคือ ผู้ปฏิบัติสามารถบอกตนเองได้ว่า
อุทธัจจะกุกกุจจะนิวรณ์ ไม่ได้ตั้งอยู่ในจิตเราขณะนี้
5. ขณะนี้ ความลังเลสงสัยใน พระพุทธ,พระธรรม,พระสงฆ์ สัมมาทิฏฐิ10,หลักเหตุผลในอริยสัจ ตั้งอยู่ในจิตเราขณะนี้หรือไม่
หากไม่มี นั้นคือ ผู้ปฏิบัติสามารถบอกตนเองได้ว่า
วิจิกิจฉานิวรณ์ ไม่ได้ตั้งอยู่ในจิตเราขณะนี้
- หากไม่มีนิวรณ์ 5 ขณะนี้ ย่อมมีสุขเกิดแต่ วิเวก อยู่
หมายถึง สุขที่เกิดจาก นิวรณ์5 ดับอยู่
๏ พิจารณา อกุศลกรรมบถ10
๏ กายทุจริต 3
- การฆ่าสัตว์
- การลักทรัพย์
- การประพฤตผิดในกาม
มีอยู่ในการกระทำเรา ขณะนี้หรือไม่ ?
หากไม่มี ผู้ปฏิบัติสามารถบอกตนเองได้ว่า
เราตั้งอยู่ในกายสุจริต 3 อยู่ในขณะนี้
๏ วาจาทุจริต 4
- การพูดเท็จ
- พูดส่อเสียด
- พูดหยาบ
- พูดเพ้อเจ้อ
มีอยู่ในวาจาเรา ขณะนี้หรือไม่
หากไม่มี ผู้ปฏิบัติสามารถบอกตนเองได้ว่า
เราตั้งอยู่ในวาจาสุจริต 4 อยู่ในขณะนั้น
๏ มโนทุจริต 3
- ความคิดโลภอยากได้ของเค้า
- ความพยาบาท
- ความไม่เชื่อในสัมมาทิฐิ10
มีตั้งอยู่ในใจ เราขณะนี้หรือไม่
หากไม่มี ผู้ปฏิบัติสามารถบอกตนเองได้ว่า
เราตั้งอยู่ในมโนสุจริต3 ในขณะนี้
๏ ผู้ปฏิบัติย่อมบอกตัวเองได้ว่า
เมื่อ กายสุจริต3,วาจาสุจริต4,มโนสุจริต3 ตั้งอยู่ในตน นั้นคือ ขณะนี้ตน สงัดจากอกุศลกรรมอยู่
โดยที่ไม่ต้องหาคนอื่นมารับรองตนเอง
๏ พิจารณา อกุศลวิตก 3
1. ความคิดในทางกาม (กามวิตก)
มีอยู่ในเรา ขณะนี้หรือไม่
หากไม่มี ผู้ปฏิบัติสามารถบอกตนเองได้ว่า
เราตั้งอยู่ใน เนกขัมมะวิตก ความคิดอยากออกจากกาม
2. ความคิดพยาบาท (พยาบาทวิตก)
มีอยู่ในเรา ขณะนี้หรือไม่
หากไม่มี ผู้ปฏิบัติสามารถบอกตนเองได้ว่า
เราตั้งอยู่ใน อพยาบาทวิตก ความไม่คิดร้ายต่อผู้อื่น
3. ความคิดเบียดเบียน (วิหิงสาวิตก)
มีอยู่ในเรา ขณะนี้หรือไม่
หากไม่มี ผู้ปฏิบัติสามารถบอกตนเองได้ว่า
เราตั้งอยู่ใน อวิหิงสาวิตก ความคิดในความไม่เบียดเบียนคนอื่น
๏ เมื่ออกุศลวิตก3 วิตกไม่ตั้งอยู่ในเรา
ผู้ปฏิบัติย่อมสามารถบอกตนเองได้ว่า
ขณะนี้เราอยู่ใน กุศลวิตก3 อยู่
และขณะนี้ สงัดจากอกุศลกรรม อยู่
โดยที่ไม่ต้องหาใครมารับรอง
๏ กล่าวโดยสรุป
1. เมื่อเกิดปีติชนิดใด ในปีติ5
ผู้ปฏิบัติสามารถบอกตนเองได้ว่า
๏ ตนอยู่ในปีติใด
๏ ตนอยู่ในสมาธิระดับใด
- ปีติเล็กน้อย เกิดเป็นพักๆ ชั่วขณะ
อาการปีติเช่น ขนลุกชูชัน,การซาบซ่านตามกาย
ผู้ปฏิบัติสามารถบอกตนเองได้ว่า
ตนอยู่ใน ขุททกาปีติ,ขณิกาปีติ,โอกกันติกาปีติ (ปีติข้อ1,2,3 ในปีติ5)
ซึ่งทำให้ ผู้ปฏิบัติสามารถบอกตนเองได้ว่า ตนอยู่ในขณิกสมาธิ
- ปีติที่ค่อนข้างแนบแน่นกับกาย ,แต่ยังไม่เป็นปีติในองค์ฌาน
อาการของปีติ เช่น ตัวเล็ก,ตัวใหญ่,ตัวหนัก,ตัวโยกโคลง,เกิดความร้อนในกาย อาการปีติจะแนบแน่นกับกาย จะไม่มีเป็นพักๆ หรือชั่วขณะแบบข้อแรก นี้คือความต่างกันของปีติ 2 ข้อนี้
ผู้ปฏิบัติสามารถบอกตนเองได้ว่า ตนเกิดปีติในข้อ 4 คือ อุเพงคาปีติ
ซึ่งทำให้ ผู้ปฏิบัติสามารถรับรองตนเองได้ว่า ตนเองได้อุปจารสมาธิ
- ปีติที่แนบแน่นกับกาย, ทั่วถึงกาย, แผ่ซ่านตามกาย,เอิบอาบกายดั่งมีน้ำรด
อาการของปีติ คือ มีอาการแผ่ซ่านตามกาย,รู้สึกหนักแน่น, อาการชาๆ,เป็นปีติ ,เป็นพลังงาน,ที่แผ่ปกคลุมไปทั้งกาย,ไม่มีกายส่วนไหนเลย ที่เราไม่รับรู้ส่วนนั้น ,รู้ได้ทั่วทั้งกาย
ซึ่งทำให้ ผู้ปฏิบัติสามารถบอกตนเองได้ว่า เกิดผรณปีติแก่ตน
ผรณาปีติ คือ ปีติที่นับเข้าเป็น องค์ฌานหนึ่ง
ทำให้ผู้ปฏิบัติสามารถรับรองตัวเอง ได้เป็นชั้นแรกว่า ตนเข้าฌาน1 อยู่ ในขณะนี้ ซึ่งต้องพิจารนาร่วมกับ การสงัดจากกาม,สงัดอกุศลกรรม, มีสุขแต่วิเวก ซึ่งจะสรุปเป็นข้อๆ ถัดไป
2. การสงัดจากกาม
ผู้ปฏิบัติสามารถบอกตนเองได้ว่า
- ความเพลินใน รูปเสียงกลิ่นรสสัมผัส (กามฉันทะ) ตั้งอยู่หรือไม่ตั้งอยู่ในจิตตน หรือไม่?
- ความคิดในทางแสวงหากามมาบำรุงบำเรอตน (กามวิตก) ตั้งอยู่หรือไม่ตั้งอยู่ในความคิด ของตนหรือไม่ ?
- พิจารณา กามฉันทะนิวรณ์, และ กามวิตก
ว่าตั้งอยู่ในตนหรือไม่ ?
- หากไม่ตั้งอยู่ ผู้ปฏิบัติสามารถรับรองตนเองได้ว่า
ขณะนี้ตน สงัดจากกามอยู่
3. สงัดจากอกุศลกรรม
๏ อกุศลกรรม ต้องพิจารนา 3 ข้อ คือ
- อกุศลกรรมบถ 10
- อกุศลวิตก 3
- นิวรณ์ 5
อกุศลกรรม 3 ข้อนี้ต้องดับ ในขณะนั้น ,ขณะปฏิบัติ
ถึงเรียกว่า สงัดจากอกุศลกรรม อยู่ในขณะนั้น
๏ ผู้ปฏิบัติสามารถบอกตนเองได้ว่า
- ขณะนี้ อกุศลกรรมบถ10 ตั้งอยู่ใน กาย,วาจา,ใจ ตนหรือไม่?
หากไม่ตั้งอยู่ ผู้ปฏิบัติสามารถรับรองตนเองได้ว่า ตนปฏิบัติอยู่ใน กุศลกรรมบถ10อยู่
มีกายสุจริต3 อยู่, มีวาจาสุจริต4อยู่,มีมโนสุจริต3อยู่
- ขณะนี้ อกุศลวิตก3, ความคิดแสวงหากาม,ความคิดพยาบาท,ความคิดเบียดเบียน มีอยู่ในความคิดปัจจุบันเราหรือไม่ ?
หากไม่มี ผู้ปฏิบัติสามารถรับรองตนเองได้ว่า
ตนเองมี กุศลวิตก3 ความคิดออกจากกาม,ความคิดไม่พยาบาท,ความคิดไม่เบียดเบียน อยู่ในขณะนี้
- ขณะนี้ นิวรณ์5 ตั้งอยู่ในจิตเราหรือไม่ ?
หากไม่มี ผู้ปฏิบัติสามารถรับรองตนเองได้ว่า
อกุศลกรรม ดับอยู่ในขณะนี้ โดยที่ไม่ต้องถามใคร บอกตนเองได้ รับรองตนเองได้
๏ เมื่อผู้ปฏิบัติรู้ตัวว่า
- กาย,วาจา,ใจ ตนเองมี กุศลกรรมบถ10 อยู่ในขณะนี้
- ความคิดตนเองมี กุศลวิตก3 อยู่ในขณะนี้
- จิตตนเองปราศจาก นิวรณ์5 อยู่ในขณะนี้
ก็สามารถรับรองตนเอง โดยไม่ต้องถามใครได้ว่า
ขณะนี้ตน สงัดจากอกุศลกรรม อยู่แน่นอน
3. ความสุข อันเกิดจากวิเวก
ผู้ปฏิบัติสามารถบอกตนเอง โดยที่ไม่ต้องถามใครได้ว่า
- ขณะนี้ นิวรณ์ทั้ง5 ข้อ ตั้งอยู่ในจิตของตนหรือไม่ ?
หากไม่ตั้งอยู่ ย่อมเกิดสุข จากนิวรณ์5ดับ คือ สุขแต่วิเวกอยู่
4. วิตก,วิจาร
วิตก คือ ความตรึก, มีอาการ นึกถึงสิ่งนั้นอยู่
วิจาร คือ ความตรอง, อาการ ประคอง,ใคร่ครวญในสิ่งนั้นอยู่
เช่น ภาวนา พุทโธ
วิตก คือ การนึกถึง พุทโธ อยู่
วิจาร คือ การประคองให้นึก พุทโธ ได้ต่อเนืองอย่างมีสติ ไม่ให้ไปนึกถึงเรื่องอื่น นอกจาก พุทโธ
หากมีอาการตามนี้ ผู้ปฏิบัติก็รับรองตนเองได้ว่า
ขณะนี้เรากำลังเจริญ วิตก วิจาร อยู่ โดยไม่ต้องการคำรับรองจากใคร
๏๏๏ กล่าวโดยสรุปรวบยอด
หากผู้ปฏิบัติมีอาการ
- เกิดผรณาปีติ,เกิดปีติเอิบอาบกาย,แผ่ซ่านไปตามกาย,ทั่วถึงกาย
- เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อม,รู้ทั่วกายอยู่
- สงัดจากกาม
- สงัดจากอกุศลกรรม
- มีสุขอันเกิดแต่วิเวกอยู่ (สุขจากนิวรณ์5ดับ)
- มีวิตก วิจาร
ตามที่พรรณามาแล้ว ข้างต้น
เมื่อผู้ปฏิบัติทราบด้วยตนเองแล้วว่า ตนมี 5 ข้อนี้ครบ,
สามารถรับรองตนเองได้ว่า เข้าปฐมฌาน อยู่ในขณะนี้ โดยที่ไม่ต้องอาศัยคำรับรองจากผู้อื่น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น