วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2565

รวม ๓๕ พระคาถา ของหลวงพ่อพระราชพรหมยานฯ~หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

 ประจวบ ตุละพงษ์

7 ชม. ·
** รวม ๓๕ พระคาถา ของหลวงพ่อพระราชพรหมยานฯ~หลวงพ่อฤาษีลิงดำ **
๑. พระพุทธคาถา
.. สัมมาสัมพุทธัสสะ พระอะระหังพุทโธ นะโมพุทธายะ
สวดทุกคืน คืนละ ๗ จบ อานุภาพคาถา มีดังนี้
.. ศัตรูจะพินาศไปเอง เมื่อคิดประทุษร้าย จะเกิดผลในด้านมงคลทุกประการ ตามที่ปรารถนา จะสามารถเห็นได้แจ่มแจ้งด้วยญาณ เห็นได้ชัดเจนทุกประการ และทุกขณะที่ประสงค์จะเห็น.
.. เป่าให้ศิษย์ผู้เรียนทิพยจักขุญาณ และเรียนไปปรโลกได้ มีญาณเครื่องเห็นแจ่มใส.
๒. คาถาเงินล้าน
( ตั้ง นะโม.. ๓ จบ )
.. สัมปะจิตฉามิ
นาสังสิโม
พรหมมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ
พรหมมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภะวันตุ เม
มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุ เม
มิเตพาหุหะติ
พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ
วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา
วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย
พุทธัสสะ มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม
สัมปะติจฉามิ
เพ็ง ๆ พา ๆ หา ๆ ฤา ๆ
..สวดคาถาวันละ ๙ จบ ทุกวัน หลวงพ่อบอกว่า เป็นเบี้ยต่อไส้ ถ้าภาวนาควบไปกับ อานาปานุสสติ จิตจะสะอาด จะยิ่งเห็นผล.
.. ถ้าทำเป็นกรรมฐาน ก็ให้ภาวนาคาถาเงินล้านในใจ ว่าไปเรื่อย ๆ ช้า ๆ ไม่ต้องรีบ เพื่อให้จิตทรงฌาน โดยไม่ต้องนับจบ ก็ได้.
.. ควรสวดคาถาด้วยความเคารพ และตั้งใจ อย่าสวดด้วยความโลภอยากได้จนเกินไป.
๓. คาถาอภิญญารวม
.. โสตัตตะภิญญา
๔. คาถารวมจิต
.. อิติ สัมมาสัมพุทธัสสะ มะมะ จิตตัง
๕. คาถาปราโมทย์
.. ปราโมทย์
( ทำให้เห็นภาพนิมิต ได้ชัดเจนแจ่มใส เหมือนกลางวัน )
๖. คาถาพระนิพพานนิมิต
.. นิมิตจิตติ นิมิตจิตตา นิพพานะจิตติ นิพพานะจิตตา
๗. คาถาขีณาสวานิยตา
.. ขีณาสวานิยตา
๘. คาถานิพพานสุขัง
.. นิพพานะสุขัง
( ให้นึกถึง พระนิพพาน แล้วภาวนาคาถานี้ )
๙. คาถาเรียกจิตคน
.. จิตตะ มหาจิตตัง ปิยัง มะมะ
( เรียกจิตคน สำหรับเทศน์ อบรม ิสนทนา ทำให้ใจคนน้อมมาหา )
๑๐. คาถาสนองกลับผู้กระทำไสยศาสตร์
.. สัมปจิตฉามิ
๑๑. คาถาป้องกันคุณไสย และกันยาพิษ ยาสั่ง
.. เมสัมมุขา สัพพาหะระติ เตสัมมุขา
( ให้เสกของทุกอย่าง ก่อนที่จะกิน )
๑๒. คาถากำบังตัว
.. สัมปะติจฉามิ
๑๓. คาถากันไฟไหม้ และ ฟ้าผ่า
.. โส นามะ ยักโข
( ให้เขียนเป็นภาษาไทย ไว้บนหัวนอน แล้วสวดมนต์กราบไหว้อยู่
เสมอ )
๑๔. คาถาสมเด็จพระพุทธกัสสป
.. หลวงพ่อบอกคาถาบทนี้ เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๒๐ คาถาบทนี้ ท้าวเวสสุวัณให้มา ท่านบอกว่าให้สวดมนต์ไว้ทุกคืน ก่อนอื่นให้ระลึกถึงบารมีของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ อันมีสมเด็จพระพุทธกัสสป ทรงเป็นประธาน เพราะท่านเป็นเจ้าของคาถานี้..
.. พุทธัง มัดจิต ธัมมัง มัดใจ ศัตรูทั้งหลาย วินาศสันติ
พุทธัง มัดจิต ธัมมัง มัดใจ โรคภัยทั้งหลาย วินาศสันติ
( ในบรรทัดที่ ๒ นี้รักษาโรค ท่านบอกว่าเสกน้ำให้กิน เสกอะไรให้กิน เสกข้าวให้กินก็ได้นะ แม้แต่ยาพิษมันก็สลายตัว อีกบทหนึ่งเป็นของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน )
๑๕. คาถากันขโมยขึ้นบ้าน
.. ฆะเตสิ ฆะเตสิ กิงกะระณัง ฆะเตสิ อะหังปิตัง ชานามิ ชานามิ
( ทั้งสามบทนี้ท่านให้สวดพร้อมกันเลย เวลาฉันข้าวก็เสก กลางคืนก็ให้ภาวนาไว้นะ ภาวนาไว้สักครู เช้าเย็นอะไรนี่นะ ท่านบอกว่า ศัตรูจะพินาศไปเอง สำหรับบทหลังศัตรูทำอะไรไม่ได้ จะทำอะไรแล้ว เราจะต้องรู้อยู่เสมอ.
.. บทกลางนะทำลายโรค ได้ทำลายโรคนี่ดีใช่ไหม เสกข้าวนะ ข้าวที่เราจะฉัน เสกซะหมด และคนอื่นกินก็เป็นยาไปหมด ให้เป็นยาสำรับคนอื่นด้วยนะ ดีไหม ถ้าเห็นว่าดี ถ้าคุณจะให้รักษานี่นะ ถ้าจะใช้รักษาโรค คุณจะต้องหาดอกบัวมา ๓ ดอก ธูป ๕ ดอก เทียน ๑ เล่ม บูชาขอต่อพระพุทธรูป.
.. ถ้าใครต้องการจะให้เรารักษา ต้องบังคับให้เขาเอาดอกบัวมา ๓ ดอกนะ ธูป ๕ เทียน ๑ เสกน้ำมนต์ เสกอะไร อะไรให้กินได้ นั่งทำก็ได้ นอนก็ได้ ภาวนาให้เป็นฌานเป็นฌานในกรรมฐาน ภายในตัวเสร็จ.
.. อย่าลืมนะ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เกาะก็ได้ผลเท่ากัน เป็นฌาน )
๑๖. คาถาพระอินทร์
.. สหัสสเนตโต เทวินโท ทิพจักขุง วิโสทายิ
( ใช้กับการเรียน ให้อ่านหนังสือแล้วจำได้ ทำข้อสอบได้ )
๑๗. คาถาพระยายม
.. ปะโตเมตัง ปะระชีวินัง สุคะโต จุติ
๑๘. พุทธคาถา
.. สัมมาสัมพุทธัสสะ พระอะระหังพุทโธ นะโมพุทธายะ
( ศัตรูจะพินาศเอง เมื่อคิดร้าย เกิดผลด้านมงคลต่าง ๆ สามารถจะเห็นได้แจ่มแจ้งด้วยญาณ และ ใช้เป่าให้ศิษย์ ที่ฝึกทิพจักขุญาณ )
.. มหาวิชโย โหหิ อสังวาโส
(ภาวนากันอันตรายทุกอย่าง ผู้คิดร้าย จะย่อยยับไปเอง เป็นมงคลทุกอย่าง )
๑๙. คาถาเมตตา
.. พระอรหัง สุคโต ภควา นะเมตตาจิต
( คาถาบทนี้ หลวงพ่อบอกว่า ให้ใช้เวลาไปติดต่อผู้อื่น เพื่อขอความช่วยเหลือ โดยก่อนจะออกจากบ้าน ให้นึกใบหน้าของผู้ที่เราจะไปหาก่อน แล้วภาวนาคาถาบทนี้ไปด้วย เมื่อไปพบแล้วจะสำเร็จผลตามที่ต้องการ.
.. คาถานี้หลวงพ่อบอกว่า ท่านได้จากหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า..จากหนังสือ สมบัติพ่อให้ )
๒๐. คาถาสมเด็จประทาน
.. มหาโคตมะ ปาทะเกหิ จะ อปาทะเกหิ เม เมตตัง เมตตัง
( เสกของต่าง ๆ ให้มนุษย์ จะได้มีจิตเมตตาต่อกัน เสกอะไรก็ได้ )
๒๑. คาถาพระโมคคัลลานะ ประทาน
.. อิติ สุกขติ สุกขโต
( ทำน้ำมนต์ให้คนอยู่ในบ้าน จะได้รับความเมตตาเป็นพิเศษ )
.. อิติ สุคติ สุคโต
( ทำน้ำมนต์ให้คนเดินทาง จะประสบผลสมประสงค์ และ ปลอดภัยทุกประการ )
๒๒. คาถาท่านท้าวเวสสุวัณ
.. พยัคฆัง พยัคฆา มานี่ให้หมด
( เป็นคาถาภาวนาให้คนมารวมกัน อธิษฐานเอาตามใจ ภาวนาเรียกเสกแป้ง สีผึ้งก็ได้ )
๒๓. คาถาป้องกันอันตราย
.. รูปพระพุทโธ โหหิ
( ภาวนาคาถานี้ เสกน้ำลายกลืนลงไป ก่อนออกจากบ้าน ท่านกล่าวว่า แม้ปืนก็ยิงไม่ออก )
๒๔. คาถานวด
.. อิมัสมิงมาเล อิมังเต มาสัง วัสสัง อุเปมิอิกวิติ
( นึกถึงพระรัตนตรัยก่อนว่าคาถา แล้วให้ภาวนาเรื่อยไปขณะนวด )
๒๕. คาถาเสกของขาย ภายในร้าน
.. นะมะนะอะ นอกอนะกะ กอออนออะ นะอะกะอัง อุมิอะมิ มหิสุตัง สุ
นะพุทธัง สุอะนะอะ
๒๖. คาถาท่านท้าวมหาราชทั้ง ๔
.. อิติ สัมมาสัมพุทธัสสะ พระอรหังรักษา
( ท่านบอกว่า ท่องคาถาบทนี้แล้ว ไม่ต้องกลัวอันตราย )
๒๗. คาถาทำน้ำมนต์
.. จิเจตะสา มหามันตัง
( เป็นคาถาของพระพุทธกัสสป ใช้เพื่อทำน้ำมนต์ ใช้การทุกอย่างสวัสดี เป็นมหาเมตตา และ ทำลายโชคร้ายทั้งหมด ให้กลายเป็นดี รักษาโรคทั้งหมด ตามแต่จะอธิษฐาน )
๒๘. คาถาโรยทราย ( นะจังงัง )
.. นะโมพุทธายะ
( ให้นึกถึงพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ ใช้ภาวนา พรมน้ำมนต์ โรยทรายเสก ถ้านึกถึงพระยายมราช ใช้เพืี่อระงับทุกขเวทน )
.. อิติ ศัตรู ยามาคะตา ( โรยไปว่าไป ป้องกันศัตรู )
๒๙. คาถาเสกขสีผึ้งสีปาก เมตตามหานิยม ( คาถาพระพุทธกัสสป )
.. นาสังสิโม ปาสุอุชา ( ๑๐ จบ )
( เป็นคาถาพระพุทธกัสสป ใช้เสกสีผึ้งทางปาก เพื่่อเมตตามหานิยม )
๓๐. คาถาปลุกพระ
.. อิทธิฤทธิ พุทธะนิมิตตัง ขอเดชะเดชัง
ขอเดชเดชะ จงมาเป็นที่พึ่ง แก่มะอะอุนี้เถิด
( ตั้ง นะโม ๓ จบ ก่อน แล้วว่า ไตรสรณคมน์ "พุทธัง สรณัง คัจฉามิ , ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ , สังฆัง สรณัง คัจฉามิฯ.. ใช้อาราธนาพระเครืี่อง และ วัตถุมงคล เป็นคาถาที่หลวงพ่อ ได้มาจากหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค )
๓๑. คาถามงกุฏพระพุทธเจ้า
.. อิติปิ โส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธะนาเมอิ
อิเมนา พุทธะตังโสอิ อิโสตัง พุทธะปิติอิ
( ถ้าทำให้เป็นฌาน นิมิตต่าง ๆ จะแจ่มใส และมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง ได้ตามความประสงค์ )
๓๒. คาถาอาราธนา ยันต์พิชัยสงคราม
.. พุทธะสังมิ ( ว่า ๓ จบ )
๓๓. คาถาเมฆจิต
.. พุทธัง เมฆะนิมิต จิตตัง มะอะอุ
ธัมมัง เมฆะนิมิต จิตตัง อุอะมะ
สังฆัง เมฆะนิมิต จิตตัง อะมะอุ
( ภาวนา เพื่อให้เกิดทิพพจักขุญาณ )
๓๔. คาถาบารมี ๓๐ ทัศ ( คาถาปักกลด )
.. อิติ ปาระมิตตา ติงสา อิติ สัพพัญญู มาคะตา
อิติ โพธิมะนุปปัตโต อิติปิ โส จะ เต นะโม
๓๕. คาถาตวาดป่าหิมพานต์ ( คาถาขึงสายอัพโภกาส )
.. ภะสัมสัม วิสะเทภะ
~ น้อมกราบ สาธุ สาธุ สาธุ ..
( ที่มา..หนังสือทำวัตรสวดมนต์ ฉบับวัดท่าซุง และ เพจ : วิกิซอร์ซ .. ภาพประกอบและคัดลอก โดย ยุพยง พัฒนเจริญ )




วันอังคารที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2565

 นั่งสมาธิ แล้วมันวูบลง

และดูเหมือนว่างๆ มันคืออะไร...
ถ้านั่งสมาธิไปแล้ว จิตมันวูบสงบลงไป
นั่นแหละ คือ จิตมันวางนิวรรณธรรมสิ่งรบกวน
ให้ลงไปสู่ความสงบ
แต่เราขาดสติที่จะตามดูจิตของเรา
จิตก็เลยไปสงบเป็นสมาธิอยู่อย่างนั้น
และจะเหมือนกับอยู่ว่างๆ สบาย
เมื่อจิตสงบอยู่แล้ว เราขาดสติ
ดูว่า จิตนิ่งอยู่ที่ไหน..
เราไม่รู้ อาจจะนั่งอยู่ชั่วโมงหรือสองชั่วโมง
แต่ไม่รู้ว่าจิตอยู่ที่ไหน แต่มันสบาย
เราควรที่จะมีสติสัมปชัญญะตามจิต
ของเราอยู่ตลอดว่า
สงบลงไปขั้นไหนๆ จนไปถึงสงบนิ่ง
ให้รู้อยู่ว่า จิตสงบอยู่กับตัว ให้รู้อย่างนั้น
เมื่อสงบแล้ว ก็ประคองจิตของเรา
ไว้ให้สงบนิ่งเป็นสมาธิ
ให้มันเป็นสมาธิไว้เสียก่อน
ทำวันไหนๆ ก็ให้สงบนิ่ง
เป็นสมาธิอยู่อย่างนั้นก่อน
จึงมาพิจารณาเรื่องไตรลักษณ์
พิจารณารู้เวทนา สัญญาสังขาร วิญญาณ
หรือจะพิจารณาสติปัฏฐาน กาย เวทนา จิต ธรรม
ก็แล้วแต่ จะเอาตัวไหนยกขึ้นมาพิจารณาเป็นปัญญา
เขาเรียก วิปัสสนากรรมฐาน
แต่อยากให้ฝึกจิตให้สงบ เป็นสมาธิก่อน
เมื่อจิตสงบดีแล้ว จึงมาพิจารณา
เป็นวิปัสสนากรรมฐาน เรียนคนละขั้นกัน
แต่ส่วนมาก บางคนว่า เขาจะวิปัสสนากรรมฐานเลย
เรียนลัดๆ มันจะได้ถึงง่ายๆ
แต่เมื่อจิตใจของเรา ไม่สงบเป็นสมาธิแล้ว
ก็พิจารณาอะไรไม่เข้าใจ ก็เพราะจิตไม่เป็นสมาธิ
เหมือนกับเรามีไฟฉาย
ฉายไป มันจะดูภาพไม่เห็นชัด
เพราะมันไม่นิ่ง
จิตก็เหมือนกัน จิตที่ไม่นิ่ง
เราก็ไม่สามารถที่จะดูจิตของเราได้ว่า
มันอยู่ไหน แล้วคิดเรื่องอะไรไม่รู้
แต่ถ้าว่างเขารู้ อะไรที่เขารู้แล้ว
ก็จะปล่อยวาง ก็คือมันว่าง
เหมือนมือเราถือของอยู่
ถ้าเรารู้ว่า มันมีโทษ เราก็วาง
มันก็จะว่าง ไม่มีอะไรอยู่ในมือ
จิตก็เหมือนกัน เมื่อเขายึดอะไรอยู่
เขาเข้าใจแล้วเขาก็จะวาง
แล้วก็ว่างจากสิ่งนั้น
หรือว่าเขากำลังโกรธ
พอเขารู้โทษของความโกรธ
เป็นของไม่ดี เขาก็จะวาง เขาก็จะสบาย
ถ้าเขาโลภะจริงๆ เขาจะไปปล้น
ไปจี้เอาของคนอื่น ไปฉ้อไปโกงคอรัปชั่น
เพราะเขาไม่ติดสิ่งนั้น
จึงเรียกว่า ทำไปๆ แล้วทำให้จิตว่าง
เมื่อจิตว่าง คือมันไม่ยึดมั่นถือมั่น
ใจเราก็เหมือนกัน เดี๋ยวก็ยึดสิ่งนี้ยึดสิ่งนั้น
ยึดหลายสิ่งหลายอย่าง มันก็หนึกอึ้ง
มันทุกข์
พอวางๆ วางๆ ไปให้หมด
มันก็อยู่ของมันโดยเอกเทศ
มันก็ว่าง เบา สบาย..
Cr.fb.dejchai​ tueanrat


 "ฝึกจิตแผ่บุญ" เวลาเราคิดไปที่ไหน กระแสก็จะไปอยู่ที่นั่น คิดไปที่หลวงปู่ กระแสก็จะอยู่ในพลังงาน เบื้องต้นให้รู้จักเบนกระแสให้ได้ก่อน สวดให้อารมณ์ดีก่อน เบนกระแสที่ไม่ดีให้ได้ก่อน ภาวนาไปเรื่อยให้กระแสจิตของเราไปเป็นหนึ่งเดียวกับคำภาวนา ให้กระแสของเราอยู่ในบทสวดให้ได้ก่อน ที่สำคัญต้องอยู่ในกระแส ให้จิตไปอยู่กับบทจักรพรรดิหรือไตรสรณคมน์ก็จะทำให้เกิดความหนาแน่นของพลังงาน

เน้นที่ความนิ่ง ความนิ่งทำให้เกิดความสบาย จิตตรงนี้แหละที่จิตจะบันทึก ทำไปเรื่อยทรงอารมณ์แบบนี้ จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี มันต้องมีสมาธิ จิตถึงจะบันทึกได้ มันต้องนิ่งๆ ต้องสบายๆ จิตก็จะบันทึก ลองคิดดูถ้าทำหลายๆ ปี จิตจะสุขแค่ไหน..นี่แหละ คือ กำลัง..หละ
เวลาเราสวดจักรพรรดิ เราสามารถสวดมนต์ไปแล้วก็นึกถึงเรื่องธุรกิจการงานไปด้วยก็ได้ คิดไปสวดไปพร้อมๆ กัน ตอนกลางคืนก็พยายามสวดจนหลับให้จิตติดกระแสบุญไปก็จะไม่ฝันร้าย เพราะความฝันบางครั้งนั้นเป็นกระแสในอดีต ถ้ากระแสในอดีตไม่ดีก็อาจทำให้เจ็บป่วยได้ เช่น เวลาฝันว่าวิ่ง ตื่นขึ้นมามันก็เหนื่อย แสดงว่าแม้จิตฝันมันก็ออกที่ธาตุ ถ้าภาวนาให้ได้ก่อนนอนนานเข้าก็จะไม่ฝันร้าย เจ้ากรรมนายเวรก็ไม่สามารถทำอะไรเราได้ กระแสกรรมที่ไม่ดีก็มาทำอะไรเราไม่ได้
จิตที่เราฝันกับธาตุที่เรานอนมันเป็นสายใยกัน อาการที่ฝันมันก็ออกธาตุ แต่มันแค่ครึ่งเดียวแต่ก็รู้สึกอยู่
จิตของเราไม่เคยพักเลยตั้งแต่เกิดมา จิตจะพักก็แค่ตอนที่เรานั่งสมาธิจนนิ่งเท่านั้น
การแผ่บุญแค่นึกก็ไปแล้ว เพียงมีกระแส ภพทั้ง ๓ มันสื่อกับมนุษย์ แม้แต่โพธิสัตว์ จะสร้างบารมีก็ต้องลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพราะมนุษย์มีทั้งกายและใจ เราเป็นมนุษย์เรามีการสะสมบุญบารมีไว้ เราก็สามารถแผ่บุญไปให้ทั้ง ๓ แดนโลกธาตุได้ แต่เมื่อใดถ้าตายไป บุญที่เรามีทั้งหมดก็ไม่สามารถให้ผู้ใดได้แล้ว
เอ็งเกิดมาต้องตายอยู่แล้ว..ต้องตายแน่ๆ หลวงปู่ให้เตรียมตัวตาย อยากจะไปไหนให้ฝึกไว้จนชิน พอจะตายถ้าจิตติดที่อารมณ์ที่ดี ตามที่เคยฝึกไว้ก่อนตายก็โอเค จบ ตายอย่างสงบ
ช่วยกันแชร์คนละ 1 แชร์ เป็นการแจกจ่ายธรรมทาน ให้กับเพื่อนมนุษ ได้อานิสงส์เช่นเดียวกับพิมพ์หนังสือธรรมะ หากมีใครสักคนนำไปทำตามเราก็ได้บุญด้วย
บางส่วนของคติธรรมคำสอนโดย... พระอาจารย์วรงคต วิริยธโร (หลวงตาม้า) วัดพุทธพรหมปัญโญ (ถ้ำเมืองนะ)
(ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ที่หลวงปู่เมตตาสอนสาสตร์พุทธภูมิให้กับท่าน )

 การพิจารนาระดับสมาธิของตน

แบบบอกตนเองได้ กำหนดรู้ตนเอง ได้ว่า ปฏิบัติอยู่ขั้นไหน
๏ อาการของปีติที่เกิดขึ้นมา คือ ตัวชี้วัดระดับสมาธิในขั้นต้น คือ
- หากเกิด ปีติเล็กน้อย ขนลุกชูชัน
๏ ผู้ปฏิบัติสามารถบอกตนเองได้ว่า
ตนเกิด ขณิกสมาธิ,สมาธิชั่วครู่ อยู่ในขณะนี้
- หากเกิด ปีติแบบมดไต่,ตัวเล็ก,ตัวใหญ่,ตัวโยกโคลง,ตัวหนัก,ตัวลอย,รู้สึกเกิดความร้อนในกาย
๏ ผู้ปฏิบัติสามารถบอกตนเองได้ว่า
ตนเกิด อุปจารสมาธิ, สมาธิใกล้ฌาน อยู่ในขณะนี้
- หากเกิด ปึติแบบมีกระแสปีติเอิบอาบกาย กระแสชาๆ เหมือนมีพลังงานแผ่ทั่วร่างกาย มีสติสัมปชัญญะ รู้ตัวทั่วพร้อม เกิดจากกระแสปีติที่เอิบอาบกายนั้น เรียกว่า มีผรณาปีติ
๏ ผู้ปฏิบัติสามารถบอกตนเองได้ว่า
อาการนี้คือ เข้าฌาน 1
๏ ในปีติ 5
- ข้อ1,2,3 คือ ขณิกสมาธิ สมาธิเพียงชั่วครู่,สมาธิเล็กน้อย
- ข้อ 4 คือ อุปจารสมาธิ,สมาธิที่ใกล้ถึงฌาน
- ข้อ 5 คือ ปีติในองค์ฌาน
๏ พิจารณานิวรณ์ 5 ในฌาน1ด้วยว่า ;
1. ขณะนี้ ตนติดในกามคุณ5 คือเพลินติดใน รูป,เสียง,กลิ่น,รส,สัมผัส อยู่หรือไม่ ?
หากไม่มี นั้นคือ ผู้ปฏิบัติสามารถบอกตนเองได้ว่า
กามฉันทะนิวรณ์ ไม่ได้ตั้งอยู่ในจิตขณะนี้
2. ขณะนี้ ความพยาบาท อยากเบียดเบียนสัตว์อื่น ตั้งอยู่ในจิตเราขณะนี้หรือไม่ ?
หากไม่มี นั้นคือ ผู้ปฏิบัติสามารถบอกตนเองได้ว่า
พยาบาทนิวรณ์ ไม่ได้ตั้งอยู่ในจิตเราขณะนี้
3. ขณะนี้ ความง่วง,ความหดหู่ ตั้งอยู่ในจิตเราขณะนี้หรือไม่ ?
หากไม่มี นั้นคือ ผู้ปฏิบัติสามารถบอกตนเองได้ว่า
ถีนะมิธะนิวรณ์ ไม่ได้ตั้งอยู่ในจิตเราขณะนี้
4. ขณะนี้ ความฟุ้งซ่าน,ความรำคาญใจ ตั้งอยู่ในจิตเราขณะนี้หรือไม่ ?
หากไม่มี นั้นคือ ผู้ปฏิบัติสามารถบอกตนเองได้ว่า
อุทธัจจะกุกกุจจะนิวรณ์ ไม่ได้ตั้งอยู่ในจิตเราขณะนี้
5. ขณะนี้ ความลังเลสงสัยใน พระพุทธ,พระธรรม,พระสงฆ์ สัมมาทิฏฐิ10,หลักเหตุผลในอริยสัจ ตั้งอยู่ในจิตเราขณะนี้หรือไม่
หากไม่มี นั้นคือ ผู้ปฏิบัติสามารถบอกตนเองได้ว่า
วิจิกิจฉานิวรณ์ ไม่ได้ตั้งอยู่ในจิตเราขณะนี้
- หากไม่มีนิวรณ์ 5 ขณะนี้ ย่อมมีสุขเกิดแต่ วิเวก อยู่
หมายถึง สุขที่เกิดจาก นิวรณ์5 ดับอยู่
๏ พิจารณา อกุศลกรรมบถ10
๏ กายทุจริต 3
- การฆ่าสัตว์
- การลักทรัพย์
- การประพฤตผิดในกาม
มีอยู่ในการกระทำเรา ขณะนี้หรือไม่ ?
หากไม่มี ผู้ปฏิบัติสามารถบอกตนเองได้ว่า
เราตั้งอยู่ในกายสุจริต 3 อยู่ในขณะนี้
๏ วาจาทุจริต 4
- การพูดเท็จ
- พูดส่อเสียด
- พูดหยาบ
- พูดเพ้อเจ้อ
มีอยู่ในวาจาเรา ขณะนี้หรือไม่
หากไม่มี ผู้ปฏิบัติสามารถบอกตนเองได้ว่า
เราตั้งอยู่ในวาจาสุจริต 4 อยู่ในขณะนั้น
๏ มโนทุจริต 3
- ความคิดโลภอยากได้ของเค้า
- ความพยาบาท
- ความไม่เชื่อในสัมมาทิฐิ10
มีตั้งอยู่ในใจ เราขณะนี้หรือไม่
หากไม่มี ผู้ปฏิบัติสามารถบอกตนเองได้ว่า
เราตั้งอยู่ในมโนสุจริต3 ในขณะนี้
๏ ผู้ปฏิบัติย่อมบอกตัวเองได้ว่า
เมื่อ กายสุจริต3,วาจาสุจริต4,มโนสุจริต3 ตั้งอยู่ในตน นั้นคือ ขณะนี้ตน สงัดจากอกุศลกรรมอยู่
โดยที่ไม่ต้องหาคนอื่นมารับรองตนเอง
๏ พิจารณา อกุศลวิตก 3
1. ความคิดในทางกาม (กามวิตก)
มีอยู่ในเรา ขณะนี้หรือไม่
หากไม่มี ผู้ปฏิบัติสามารถบอกตนเองได้ว่า
เราตั้งอยู่ใน เนกขัมมะวิตก ความคิดอยากออกจากกาม
2. ความคิดพยาบาท (พยาบาทวิตก)
มีอยู่ในเรา ขณะนี้หรือไม่
หากไม่มี ผู้ปฏิบัติสามารถบอกตนเองได้ว่า
เราตั้งอยู่ใน อพยาบาทวิตก ความไม่คิดร้ายต่อผู้อื่น
3. ความคิดเบียดเบียน (วิหิงสาวิตก)
มีอยู่ในเรา ขณะนี้หรือไม่
หากไม่มี ผู้ปฏิบัติสามารถบอกตนเองได้ว่า
เราตั้งอยู่ใน อวิหิงสาวิตก ความคิดในความไม่เบียดเบียนคนอื่น
๏ เมื่ออกุศลวิตก3 วิตกไม่ตั้งอยู่ในเรา
ผู้ปฏิบัติย่อมสามารถบอกตนเองได้ว่า
ขณะนี้เราอยู่ใน กุศลวิตก3 อยู่
และขณะนี้ สงัดจากอกุศลกรรม อยู่
โดยที่ไม่ต้องหาใครมารับรอง
๏ กล่าวโดยสรุป
1. เมื่อเกิดปีติชนิดใด ในปีติ5
ผู้ปฏิบัติสามารถบอกตนเองได้ว่า
๏ ตนอยู่ในปีติใด
๏ ตนอยู่ในสมาธิระดับใด
- ปีติเล็กน้อย เกิดเป็นพักๆ ชั่วขณะ
อาการปีติเช่น ขนลุกชูชัน,การซาบซ่านตามกาย
ผู้ปฏิบัติสามารถบอกตนเองได้ว่า
ตนอยู่ใน ขุททกาปีติ,ขณิกาปีติ,โอกกันติกาปีติ (ปีติข้อ1,2,3 ในปีติ5)
ซึ่งทำให้ ผู้ปฏิบัติสามารถบอกตนเองได้ว่า ตนอยู่ในขณิกสมาธิ
- ปีติที่ค่อนข้างแนบแน่นกับกาย ,แต่ยังไม่เป็นปีติในองค์ฌาน
อาการของปีติ เช่น ตัวเล็ก,ตัวใหญ่,ตัวหนัก,ตัวโยกโคลง,เกิดความร้อนในกาย อาการปีติจะแนบแน่นกับกาย จะไม่มีเป็นพักๆ หรือชั่วขณะแบบข้อแรก นี้คือความต่างกันของปีติ 2 ข้อนี้
ผู้ปฏิบัติสามารถบอกตนเองได้ว่า ตนเกิดปีติในข้อ 4 คือ อุเพงคาปีติ
ซึ่งทำให้ ผู้ปฏิบัติสามารถรับรองตนเองได้ว่า ตนเองได้อุปจารสมาธิ
- ปีติที่แนบแน่นกับกาย, ทั่วถึงกาย, แผ่ซ่านตามกาย,เอิบอาบกายดั่งมีน้ำรด
อาการของปีติ คือ มีอาการแผ่ซ่านตามกาย,รู้สึกหนักแน่น, อาการชาๆ,เป็นปีติ ,เป็นพลังงาน,ที่แผ่ปกคลุมไปทั้งกาย,ไม่มีกายส่วนไหนเลย ที่เราไม่รับรู้ส่วนนั้น ,รู้ได้ทั่วทั้งกาย
ซึ่งทำให้ ผู้ปฏิบัติสามารถบอกตนเองได้ว่า เกิดผรณปีติแก่ตน
ผรณาปีติ คือ ปีติที่นับเข้าเป็น องค์ฌานหนึ่ง
ทำให้ผู้ปฏิบัติสามารถรับรองตัวเอง ได้เป็นชั้นแรกว่า ตนเข้าฌาน1 อยู่ ในขณะนี้ ซึ่งต้องพิจารนาร่วมกับ การสงัดจากกาม,สงัดอกุศลกรรม, มีสุขแต่วิเวก ซึ่งจะสรุปเป็นข้อๆ ถัดไป
2. การสงัดจากกาม
ผู้ปฏิบัติสามารถบอกตนเองได้ว่า
- ความเพลินใน รูปเสียงกลิ่นรสสัมผัส (กามฉันทะ) ตั้งอยู่หรือไม่ตั้งอยู่ในจิตตน หรือไม่?
- ความคิดในทางแสวงหากามมาบำรุงบำเรอตน (กามวิตก) ตั้งอยู่หรือไม่ตั้งอยู่ในความคิด ของตนหรือไม่ ?
- พิจารณา กามฉันทะนิวรณ์, และ กามวิตก
ว่าตั้งอยู่ในตนหรือไม่ ?
- หากไม่ตั้งอยู่ ผู้ปฏิบัติสามารถรับรองตนเองได้ว่า
ขณะนี้ตน สงัดจากกามอยู่
3. สงัดจากอกุศลกรรม
๏ อกุศลกรรม ต้องพิจารนา 3 ข้อ คือ
- อกุศลกรรมบถ 10
- อกุศลวิตก 3
- นิวรณ์ 5
อกุศลกรรม 3 ข้อนี้ต้องดับ ในขณะนั้น ,ขณะปฏิบัติ
ถึงเรียกว่า สงัดจากอกุศลกรรม อยู่ในขณะนั้น
๏ ผู้ปฏิบัติสามารถบอกตนเองได้ว่า
- ขณะนี้ อกุศลกรรมบถ10 ตั้งอยู่ใน กาย,วาจา,ใจ ตนหรือไม่?
หากไม่ตั้งอยู่ ผู้ปฏิบัติสามารถรับรองตนเองได้ว่า ตนปฏิบัติอยู่ใน กุศลกรรมบถ10อยู่
มีกายสุจริต3 อยู่, มีวาจาสุจริต4อยู่,มีมโนสุจริต3อยู่
- ขณะนี้ อกุศลวิตก3, ความคิดแสวงหากาม,ความคิดพยาบาท,ความคิดเบียดเบียน มีอยู่ในความคิดปัจจุบันเราหรือไม่ ?
หากไม่มี ผู้ปฏิบัติสามารถรับรองตนเองได้ว่า
ตนเองมี กุศลวิตก3 ความคิดออกจากกาม,ความคิดไม่พยาบาท,ความคิดไม่เบียดเบียน อยู่ในขณะนี้
- ขณะนี้ นิวรณ์5 ตั้งอยู่ในจิตเราหรือไม่ ?
หากไม่มี ผู้ปฏิบัติสามารถรับรองตนเองได้ว่า
อกุศลกรรม ดับอยู่ในขณะนี้ โดยที่ไม่ต้องถามใคร บอกตนเองได้ รับรองตนเองได้
๏ เมื่อผู้ปฏิบัติรู้ตัวว่า
- กาย,วาจา,ใจ ตนเองมี กุศลกรรมบถ10 อยู่ในขณะนี้
- ความคิดตนเองมี กุศลวิตก3 อยู่ในขณะนี้
- จิตตนเองปราศจาก นิวรณ์5 อยู่ในขณะนี้
ก็สามารถรับรองตนเอง โดยไม่ต้องถามใครได้ว่า
ขณะนี้ตน สงัดจากอกุศลกรรม อยู่แน่นอน
3. ความสุข อันเกิดจากวิเวก
ผู้ปฏิบัติสามารถบอกตนเอง โดยที่ไม่ต้องถามใครได้ว่า
- ขณะนี้ นิวรณ์ทั้ง5 ข้อ ตั้งอยู่ในจิตของตนหรือไม่ ?
หากไม่ตั้งอยู่ ย่อมเกิดสุข จากนิวรณ์5ดับ คือ สุขแต่วิเวกอยู่
4. วิตก,วิจาร
วิตก คือ ความตรึก, มีอาการ นึกถึงสิ่งนั้นอยู่
วิจาร คือ ความตรอง, อาการ ประคอง,ใคร่ครวญในสิ่งนั้นอยู่
เช่น ภาวนา พุทโธ
วิตก คือ การนึกถึง พุทโธ อยู่
วิจาร คือ การประคองให้นึก พุทโธ ได้ต่อเนืองอย่างมีสติ ไม่ให้ไปนึกถึงเรื่องอื่น นอกจาก พุทโธ
หากมีอาการตามนี้ ผู้ปฏิบัติก็รับรองตนเองได้ว่า
ขณะนี้เรากำลังเจริญ วิตก วิจาร อยู่ โดยไม่ต้องการคำรับรองจากใคร
๏๏๏ กล่าวโดยสรุปรวบยอด
หากผู้ปฏิบัติมีอาการ
- เกิดผรณาปีติ,เกิดปีติเอิบอาบกาย,แผ่ซ่านไปตามกาย,ทั่วถึงกาย
- เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อม,รู้ทั่วกายอยู่
- สงัดจากกาม
- สงัดจากอกุศลกรรม
- มีสุขอันเกิดแต่วิเวกอยู่ (สุขจากนิวรณ์5ดับ)
- มีวิตก วิจาร
ตามที่พรรณามาแล้ว ข้างต้น
เมื่อผู้ปฏิบัติทราบด้วยตนเองแล้วว่า ตนมี 5 ข้อนี้ครบ,
สามารถรับรองตนเองได้ว่า เข้าปฐมฌาน อยู่ในขณะนี้ โดยที่ไม่ต้องอาศัยคำรับรองจากผู้อื่น